GISTDA เสริมฟีเจอร์ใหม่บนแพลตฟอร์มภัยพิบัติช่วยทุกภาคส่วนรับมือและป้องกันทันเวลา

19 กันยายน 2568 : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA จัดงาน Disaster Management Intelligence Platform เพื่อส่งเสริมการใช้งานและแนะนำนวัตกรรมใหม่บน Disaster Platform ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลน้ำท่วม ข้อมูลไฟป่าหมอกควัน ข้อมูลภัยแล้ง และข้อมูลคุณภาพอากาศ เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ใช้ประโยชน์และเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นสู่การวิเคราะห์และติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติของประเทศ และตอบสนองการปฏิบัติภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมี ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA เป็นประธานเปิดงานพร้อมกล่าวต้อนรับผู้ร่วมงานกว่า 100 ท่านจากหลากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ห้อง Grand C ชั้น 4 โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชัน กรุงเทพ

ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า GISTDA พัฒนา Disaster Platform นี้ขึ้นมา ไม่ได้มองว่าเป็นเพียงเครื่องมือทางเทคนิค แต่คือ “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่จะรองรับการจัดการภัยพิบัติในมิติใหม่ที่ทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการใช้งานจริงของทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง ซึ่งแพลตฟอร์มนี้ได้ออกแบบโดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่ผู้ใช้งานทุกภาคส่วน ทั้งเจ้าหน้าที่ภาคสนาม หน่วยงานระดับปฏิบัติการ หน่วยงานระดับนโยบาย ซึ่งมีเป้าหมายในการเป็นข้อมูลเปิด หรือ open data และ data sharing ให้ทุกคนได้ใช้และแลกเปลี่ยนข้อมูล สามารถเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นในช่วงเวลาเร่งด่วน รับการแจ้งเตือน วิเคราะห์สถานการณ์ และตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ภายใต้ Disaster Platform ได้นำเทคโนโลยีล่าสุดมาผสมผสาน อาทิ Big Data Analytics, AI, Interactive GIS, และฟังก์ชันการสื่อสารที่เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ เพื่อให้การตัดสินใจในยามวิกฤตเกิดขึ้นอย่างถูกต้องและทันท่วงที และที่สำคัญการออกแบบแพลตฟอร์มนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ “การตอบสนอง” แต่ยังมองไปถึง “การเตรียมความพร้อม” และ “การฟื้นฟูหลังเหตุการณ์” อย่างเป็นระบบ เพื่อสร้าง “ความมั่นใจ” ให้กับสังคมว่าเรามีเครื่องมือที่พร้อมจะรับมือกับภัยในอนาคต ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามด้วย “ข้อมูลที่แม่นยำ” การทำงานที่รวดเร็ว การประสานงานที่มีประสิทธิภาพ และระบบที่สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้แบบเนียรเรียลไทม์
ปัจจุบัน GISTDA ได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลใน Disaster Platform มาพัฒนาต่อยอดเป็นนวัตกรรมเชิงภูมิสารสนเทศในรูปแบบของแอปพลิชันบนมือถือที่ง่ายต่อการใช้งานสำหรับประชาชน เช่น แอปพลิชัน “เช็คน้ำ” เพื่อต่อยอดการให้บริการข้อมูลเชิงลึกจากแพลตฟอร์ม Disaster ไปสู่การคาดการณ์และแจ้งเตือนความเสี่ยงพื้นที่น้ำท่วมได้แบบเรียลไทม์ด้วยเทคโนโลยี Location Intelligence ที่ไม่ว่าผู้ใช้งานจะอยู่ที่ตรงไหนในประเทศไทย ก็สามารถระบุจุดเสี่ยงที่ผู้ใช้งานยืนอยู่ได้ นอกจากนี้ ยังมีแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” ที่สามารถดูข้อมูลฝุ่น PM2.5 ในแต่ละพื้นที่ได้แบบรายชั่วโมง สามารถให้รายละเอียดถึงระดับตำบลและพิกัดที่ผู้ใช้งานอยู่ ณ เวลานั้นๆ ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงและป้องกันภัยจากฝุ่นได้ หรือแอปพลิชัน “ไลฟ์ดี”แอปพลิเคชันแรกของไทยที่ผสานข้อมูลภูมิสารสนเทศเข้ากับข้อมูลด้านสาธารณสุขอย่างเป็นระบบ ด้วยความร่วมมือกับกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข โดยรวมระบบรายงานสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ระบบประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพ และระบบบริการสุขภาพไว้ในที่เดียว หรือแอปพลิเคชัน “ เช็คแล้ง” ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้เกษตรกรสามารถติดตามความเสี่ยงภัยแล้งในแปลงเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจสำคัญ 4 ชนิด ได้แก่ ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง และอ้อย เป็นต้น


อย่างไรก็ตาม GISTDA ไม่ได้มีภารกิจเป็นผู้บริหารจัดการภัยพิบัติโดยตรง แต่มีหน้าที่หลักคือ การติดตาม วิเคราะห์ และประเมินขอบเขตพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติต่าง ๆ โดยจะสนับสนุนการใช้ประโยชน์ภาพถ่ายจากดาวเทียมให้กับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ที่ดูแลบริหารจัดการน้ำในระดับนโยบาย กรมชลประทาน ที่ดูแลพื้นที่การเกษตรหรือพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ใช้ประโยชน์ในการแจ้งเตือนภัยและวางแผนช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ ภาคเอกชนอย่าง สมาคมประกันภัยและธนาคารต่าง ๆ เริ่มให้ความสนใจเข้ามาใช้บริการข้อมูลด้านภัยพิบัติ เพื่อประเมินความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่มากขึ้น
ทั้งนี้ การจัดการด้านภัยพิบัติ ถือเป็นหนึ่งในการประยุกต์ใช้ข้อมูลจากดาวเทียม ที่ GISTDA ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเกือบ 20 ปี ซึ่งแนวคิดหลักในการใช้งาน คือ การให้บริการข้อมูลภูมิสารสนเทศที่ตรวจวัดได้จากภาพถ่ายจากดาวเทียมหลายช่วงเวลา และบันทึกภาพแบบใกล้เคียงกับเวลาจริง ในสถานการณ์ระหว่างเกิดและหลังเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ และสามารถนำมาวิเคราะห์สถานการณ์ร่วมกับข้อมูลอื่น ๆ รวมทั้งข้อมูลเชิงพื้นที่ที่บันทึกภาพก่อนเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ เพื่อจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่ประสบภัยในการให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น และเป็นฐานข้อมูลในการวางแผนป้องกันและเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงในปีต่อๆ ไปได้ ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าว
ขณะที่ ดร.สุรัสวดี ภูมิพานิช นักภูมิสารสนเทศชำนาญการจาก GISTDA กล่าวว่า ปัจจุบันเรามีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภัยพิบัติทั้งด้านน้ำท่วม ไฟป่า ภัยแล้ง และมลพิษทางอากาศผู้สนใจสามารถเข้าดูข้อมูลได้ที่ https://disaster.gistda.or.th/ โดยข้อมูลอัพเดททุกๆ 1-5 วัน ตามแต่ละประเภทของภัย ซึ่งในแพลตฟอร์มดังกล่าว จะมีการสรุปภาพรวมสถานการณ์ภัยพิบัติย้อนหลัง 7 วัน ทำให้เห็นภาพรวมของพื้นที่เสี่ยงภัย หรือพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบและเมื่อคลิกเข้าสู่ภัยพิบัติ “น้ำท่วม” จะมีการแสดงแผนที่พื้นที่น้ำท่วมในปัจจุบัน และย้อนหลังตั้งแต่ 3 วัน 7 วันและ 30 วัน รวมถึงการแสดงพื้นที่น้ำท่วมทั้งหมด แบ่งเป็นพื้นที่ในแต่ละจังหวัด และจำนวนหลังคาเรือนที่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ยังสามารถระบุข้อมูลสำคัญอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบ เช่น พื้นที่นาข้าว โรงเรียน โรงพยาบาล และถนน ขณะที่ภัยพิบัติ “ไฟป่า” ปัจจุบัน GISTDA สามารถติดตามจุดความร้อนของประเทศไทยได้สูงถึง 10 ครั้งต่อวัน โดยเป็นข้อมูลระบบ MODIS ที่ติดตั้งบนดาวเทียม Terra และ Aqua จำนวน 4 ครั้ง/วัน ข้อมูลระบบเวียร์ (VIIRS) จากดาวเทียม Suomi NPP จำนวน 2 ครั้งต่อวัน ข้อมูลจากดาวเทียม NOAA- 20 จำนวน 2 ครั้งต่อวัน และจากดาวเทียม NOAA -21 จำนวน 2 ครั้งต่อวัน ข้อมูลที่ได้จากการบันทึกภาพจากดาวเทียมมีความกว้างมากกว่า 2,300 กิโลเมตร ทำให้สามารถเก็บข้อมูลได้ทั่วทั้งประเทศ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงอีกด้วย



ใน “Disaster Platform” จะให้ข้อมูลภาพรวมการเกิดจุดความร้อนปัจจุบันในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา จังหวัดที่เกิดจุดความร้อนเป็นจำนวนมาก สามารถระบุได้ว่าจุดความร้อนที่เกิดขึ้นเป็นพื้นที่ป่าประเภทไหน หรือเป็นพื้นที่ทำการเกษตร มีข้อมูลสถิติเปรียบเทียบในด้านต่าง ๆ เช่น 5 อันดับพื้นที่ที่มีจุดความร้อนทั้งแบบรายประเทศและในประเทศไทย การคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงไฟป่า และพื้นที่เผาไหม้ซ้ำซาก ส่วน“ภัยแล้ง” จะมีข้อมูลพื้นที่ประสบภัยแล้งทั้งหมด ค่าเฉลี่ยพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งทั้งประเทศและตามภูมิภาค รวมถึง 5 จังหวัดที่มีค่าเฉลี่ยพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งสูงสุด รวมทั้งข้อมูลความชื้นในดิน (Soil moisture) ที่สามารถนำไปใช้ในการวางแผนการใช้น้ำและการเพาะปลูกในช่วงเวลาที่เหมาะสม ลดความเสี่ยงของการขาดน้ำของพืช และยังสามารถนำไปใช้ในการเฝ้าระวังพื้นที่อาจจะเกิดดินถล่ม (Landslide) โดยเฉพาะดินที่มีความชื้นสูงมากในช่วงฤดูฝน และสุดท้ายด้าน “มลพิษทางอากาศ” จะมีทั้งการรายงานสถานการณ์มลพิษต่าง ๆ เช่น ไนโตรเจนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ รวมถึงปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 ที่แจ้งเตือนได้ในระดับรายชั่วโมง จะเห็นได้ว่า “ภัยพิบัติ” เป็นเรื่องที่เร่งด่วนรอไม่ได้ ดังนั้น แหล่งที่มาของข้อมูล จึงมาจากดาวเทียมหลากหลายดวง ซึ่งนอกจากดาวเทียมสำรวจทรัพยากรของไทยอย่างดาวเทียมไทยโชต และดาวเทียม THEOS-2 แล้วยังมีการใช้ข้อมูลจากดาวเทียมพันธมิตรอื่นๆ จากต่างประเทศ รวมถึงมีการบูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติอีกด้วย
ดร.สุรัสวดี กล่าวอีกว่า ขณะนี้แพลตฟอร์ม Disaster มี 4 ภัยพิบัติหลักที่ใช้ข้อมูลจากดาวเทียม แต่อนาคตจะมีการพัฒนาข้อมูลเพิ่มเติม โดย GISTDA ยังมีการเก็บร่องรอยของดินถล่ม หรือฐานข้อมูลแหล่งน้ำขนาดเล็กที่สามารถใช้ในการรับมือด้านภัยแล้ง รวมถึงข้อมูลสิ่งกีดขวางทางน้ำ เช่น ผักตบชวา ซึ่งจะเป็นชั้นข้อมูลที่ทำให้สามารถบริหารจัดการการระบายน้ำรองรับฤดูน้ำหลากที่จะมาถึงได้