จากกังหันน้ำคีรีวง สู่แผนการจัดการน้ำชุมชนรอบเทือกเขานครศรีธรรมราช

แม้ว่า “ไฟฟ้าพลังน้ำ” จะเป็นหนึ่งในแหล่งพลังงานทดแทนที่ถูกบรรจุอยู่ภายใต้ แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ.2558-2579 (AEDP2015)  แต่ส่วนใหญ่จะเน้นไปเทคโนโลยีกังหันน้ำผลิตไฟฟ้าขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อป้อนเข้าสู่ระบบสายส่งเป็นสำคัญ ขณะที่เทคโนโลยีกังหันน้ำผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก ซึ่งมีราคาต่อหน่วยพลังงานต่ำสุดในกลุ่มพลังงานหมุนเวียนด้วยกัน (ประมาณ 1.5-12 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง) กลับเป็นเทคโนโลยีนำเข้า ที่ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงถึงกิโลวัตต์ละ 100,000 บาท เพราะยังไม่มีบริษัทของไทยที่สามารถผลิตกังหันน้ำขนาดเล็กได้  ทั้งที่เป็นเทคโนโลยีที่จะก่อประโยชน์กับเกษตรกรในพื้นที่ห่างไกลจากสายส่งได้อย่างมหาศาล

ผศ.ดร.อุสาห์ บุญบำรุง

ชุมชนคีรีวง คือตัวอย่างหนึ่งของชุมชนเกษตรกรรม ที่อยู่ห่างไกลจากจากสายส่ง และต้องใช้เครื่องปั่นกระแสไฟฟ้า ที่ทำให้มีต้นทุนค่า น้ำมันค่อนข้างสูง และหากจะใช้แผงโซลาร์เซลล์ก็มีที่โล่งแจ้งอยู่จำกัดและใช้ได้เฉพาะเวลากลางวัน  ขณะเดียวกันระบบท่อที่เกษตรกรที่เกษตรกรแต่ละรายทำ ก็เป็นการใช้น้ำที่ไหลผ่านท่อลงมจากจากยอดเขาเพื่อปลูกผลไม้และพืชสวนต่างๆ เพียงอย่างเดียว  ทั้งที่หากนำมาผ่านเครื่องกังหันน้ำผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (0-1 KW) ก่อนปล่อยสู่แปลงปลูก ก็จะทำให้มีกระแสไฟฟ้าที่นำไปใช้ประโยชน์ได้อีกหลายด้าน นั่นจึงเป็นที่มาของเข้าไปการดำเนินการวิจัย พัฒนา ติดตั้ง และทดลองใช้กังหันน้ำผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.)  ณ ชุมชนหมู่บ้านคีรีวง ตั้งแต่ปี 2548  ที่มี ผศ.ดร.อุสาห์ บุญบำรุง หัวหน้าห้องปฏิบัติการวิจัยบูรณาการระบบพลังงานสะอาด สถาบันพัฒนาและฝึกอบรมโรงงานต้นแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เป็นหัวหน้าโครงการ  ที่ภายในระยะเวลา 4 ปี ก็สามารถพัฒนากังหันน้ำผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก ที่เป็นการพัฒนาโดยคนไทย 100 เปอร์เซ็นต์ ภายใต้ชื่อ  “กังหันน้ำคีรีวง

“เราเข้าไปร่วมกับคนชุมชนเพื่อพัฒนาการพัฒนาและสร้างกังหันน้ำผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (Pico Turbine)   เมื่อปี 2548  จนมีการติดตั้ง “กังหันน้ำคีรีวง” ที่มีกำลังผลิต 1 กิโลวัตติ์ ให้กับชุมชนแห่งนี้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2552    ซึ่งจากจุดเด่นสำคัญของกังหันน้ำคีรีวง ที่มีขนาดเล็ก มีความทนทาน ใช้งานดูแลรักษาง่าย รวมถึงมีค่าประสิทธิภาพการเปลี่ยนพลังงานน้ำเป็นไฟฟ้าค่อนข้างสูง   โดยเฉพาะเมื่อคำนวณความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์แล้วพบว่ากังหันน้ำคีรีวงขนาด 1 กิโลวัตต์ ที่มีต้นทุนการติดตั้งและบำรุงรักษาตลอด 20 ปี ไม่เกิน 40,000 บาท  จะใช้เวลาคุ้มทุนในเวลาไม่ถึง 2 ปี เมื่อเทียบกับการใช้เครื่องปั่นไฟซึ่งตลอด 20 ปี จะมีค่าน้ำมันหลายแสนบาท ทำให้วันนี้มีการติดตั้งและใช้งานกังหันน้ำขนาดเล็กในพื้นที่ของชุมชนคีรีวงมากกว่า  160 ชุด  โดยมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมกันกว่า 91 กิโลวัตต์”

คุณวิรัตน์ ตรีโชติ

ด้านคุณวิรัตน์ ตรีโชติ เลขาฯวิสาหกิจชุมชนกังหันน้ำคีรีวง กล่าวว่า แม้กังหันน้ำคีรีวงจะมีข้อจำกัดตรงที่เป็นระบบผลิตไฟฟ้าระดับครัวเรือน ต่างจากแหล่งพลังงานสะอาดอย่างโซลาร์เซลล์ หรือกังหันลม ที่คนในชุมชนได้รับประโยชน์ร่วมกัน ทำให้ที่ผ่านมาไม่สามารถขอรับการสนับสนุจากกกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้   แต่กังหันน้ำของที่นี่สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงประสิทธิภาพและความคุ้มค่า และทำให้ในปีนี้มีสมาชิกในกลุ่มแสดงความจำนงขอติดตั้งกังหันน้ำด้วยเงินของตัวเองแล้วไม่น้อยว่า 10 ราย  นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเกษตรกรในอำเภอร่อนพิบูลย์ อำเภอพิปูน รวมถึงอำเภอที่อยู่รอบเทือกเขานครศรีธรรมราช ที่เข้ามาศึกษาดูงานและสอบถามรายละเอียดของการติดตั้งและใช้งานกังหันน้ำชนิดนี้อย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น เพื่อให้การผลิตและใช้ไฟฟ้าจากพลังงานน้ำขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลของประเทศมีความยั่งยืน ก่อให้เกิดการขับเคลื่อนตามแผนพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2558-2579 (AEDP 2015) ตามยุทธศาสตร์กระทรวงพลังงานและแผนปฏิรูปพลังงาน รวมทั้งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ SDG ข้อ 7 สร้างหลักประกันให้ทุกคนสามารถเข้าถึงพลังงานสมัยใหม่ที่ยั่งยืนในราคาที่ย่อมเยา   จึงเป็นที่มาของ “โครงการการพัฒนาแผนแม่บทเพื่อส่งเสริมกังหันน้ำขนาดเล็กในชุมชนรอบเทือกเขานครศรีธรรมราชโดยใช้กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม” ภายใต้การสนับสนุนของ วช. ที่จะต่อยอดจากกังหันไฟฟ้าจากกังหันน้ำขนาดเล็กในชุมชนคีรีวง ไปสู่ชุมชนรอบเทือกเขานครศรีธรรมราชทั้งหมด ที่ครอบคลุม 40 อำเภอของ 6 จังหวัด (สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง สตูล และสงขลา)  

“การนำกังหันน้ำขนาดเล็กมากมาใช้งานในพื้นที่ชุมชนคีรีวง อาจจะเป็นความประสบความสำเร็จในวันนี้ แต่การจะทำให้พื้นที่คีรีวงเป็นแหล่งที่มีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ และเอื้อประโยชน์ชุมชนรอบเทือกเขาแห่งนี้อย่างยั่งยืน  นอกจากต้องทำให้แต่ละคนได้เห็นถึงประโยชน์และความคุ้มค่าของการติดตั้งและใช้กังหันน้ำขนาดเล็กอย่างเป็นรูปธรรม แต่จะต้องทำให้ทุกฝ่ายได้มีส่วนร่วมในการวางแผนการใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดนี้ร่วมกัน เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริงและยั่งยืน” ผศ.ดร. อุสาห์ สรุป จากงานวิจัยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี  มาเป็นการนวัตกรรมการผลิตไฟฟ้าที่ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับคนในเกษตรกร  วันนี้กังหันน้ำคีรีวงกำลังทำหน้าที่ขับเคลื่อนชุมชนรอบเทือกเขานครศรีธรรมราช สู่เครือข่ายการจัดการน้ำที่จะช่วยทำให้พื้นที่แห่งนี้ เป็นแหล่งทรัพยากรที่จะสร้างคุณค่าและมูลค่าให้กับในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน

Leave a Reply

Your email address will not be published.