วว. จับมือ กรมประมง นำ วทน. ส่งเสริมสนับสนุนเกษตรกรไทย มุ่งวิจัยพัฒนา/ถ่ายทอดเทคโนโลยีเชื้อจุลินทรีย์เพื่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
วันนี้ ( 8 มี.ค. 2566 ณ วว. เทคโนธานี) ศ .(วิจัย) ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่ง ประเทศไทย (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการส่งเสริมและสนับสนุนการนำผลงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปพัฒนาด้านการประมง เพื่อสร้างความเข้มแข็ง พัฒนาขีดความสามารถให้แก่เกษตรกรผู้ประกอบอาชีพประมง พัฒนาเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนและสังคมสู่ความยั่งยืน มุ่งเน้นการวิจัยพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีเชื้อจุลินทรีย์เพื่อการประมง มีระยะเวลาดำเนินงาน 5 ปี โดยมี ดร.โศรดา วัลภา รองผู้ว่าการวิจัยและพัฒนาด้านอุตสาหกรรมชีวภาพ วว. และ นายประพันธ์ ลีปายะคุณ รองอธิบดีกรมประมง เป็นสักขีพยาน โอกาสนี้ ดร.พัชทรา มณีสินธุ์ รองผู้ว่าการบริการอุตสาหกรรม วว. พร้อมด้วยผู้บริหาร บุคลากรของทั้งสองหน่วยงาน ร่วมเป็นเกียรติและแสดงความยินดีด้วย
ศ .(วิจัย) ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. กล่าวถึงความสำคัญในความร่วมมือฯ ระหว่าง วว. และกรมประมงว่า จะร่วมวิจัยพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีเชื้อจุลินทรีย์เพื่อการประมง มุ่งเน้นวิจัยพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีเชื้อจุลินทรีย์เพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ พัฒนาผลิตภัณฑ์ประมงและผลิตภัณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้องกับการประมงเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้สูงขึ้น สนองความต้องการของตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ส่งเสริมการนำเชื้อจุลินทรีย์ไปใช้ประโยชน์เชิงสังคมและสาธารณประโยชน์อย่างยั่งยืนให้แก่เกษตรกร เพื่อยกระดับการประมงไทยให้แข่งขันได้โดยใช้ทรัพยากรอย่างสมดุล
“…ที่ผ่านมา วว. และกรมประมง ได้ร่วมพัฒนาและศึกษาประสิทธิภาพ หัวเชื้อจุลินทรีย์ ปม.1 เพื่อใช้สำหรับการเลี้ยงสัตว์น้ำตั้งแต่ พ.ศ. 2547 และได้ขยายผลเป็นผลิตภัณฑ์หัวเชื้อจุลินทรีย์ พร้อมนำไปส่งเสริมให้เกษตรกรได้ใช้เพื่อช่วยย่อยสลายสารอินทรีย์และลดปริมาณเชื้อก่อโรคในบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและสิ่งแวดล้อม ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคและลดการใช้ยาปฏิชีวนะในสัตว์น้ำลงได้ ซึ่งเกษตรกรให้ความสนใจนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน…” ผู้ว่าการ วว. กล่าว
ศ .(วิจัย) ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต กล่าวต่อว่า ภายใต้ความร่วมมือกับกรมประมงในครั้งนี้ วว. จะนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านจุลินทรีย์ที่มีมากกว่า 40 ปี ในการรวบรวมสายพันธุ์จุลินทรีย์มากกว่า 10,000 สายพันธุ์ ผลงานวิจัยและบริการด้านจุลินทรีย์อย่างครบวงจร รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่ วว. ได้จัดสร้างขึ้น มาเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนความร่วมมือให้สำเร็จเป็นรูปธรรม ประกอบด้วย
ศูนย์จุลินทรีย์ (TISTR Culture Collection) แหล่งรวบรวมเก็บรักษาสายพันธุ์จุลินทรีย์นอกถิ่นกำเนิดที่มีประโยชน์ในการเกษตร อุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อม ภายใต้มาตรฐาน ISO 9001 : 2008 นอกจากนี้ยังเป็นหน่วยบริการด้านจุลินทรีย์ (service culture collection) แห่งเดียวในประเทศไทย ที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นโดย UNESCO เมื่อปี 2519
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านสาหร่าย (Algal Excellent Center : ALEC) วิจัย พัฒนา บริการ ถ่ายทอดเทคโนโลยี ที่เกี่ยวข้องกับสาหร่ายอย่างครบวงจร ปัจจุบันรวบรวมและเก็บรักษาสายพันธุ์สาหร่ายน้ำจืด/น้ำเค็มขนาดเล็ก พร้อมจัดทำฐานข้อมูลกว่า 1,000 สายพันธุ์ มีห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยง วิเคราะห์ และทดสอบ มีระบบการเพาะเลี้ยงสาหร่ายระดับขยายกลางแจ้งต้นแบบ ตั้งแต่ขนาด 100-400,000 ลิตร
ศูนย์นวัตกรรมผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่ออุตสาหกรรมอาหาร 1 (Innovative Center for Production Industry microorganisms : ICPIM 1) วิจัยพัฒนา ผลิต บริการ ด้วยมาตรฐาน GMP ด้านอาหารและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากโพรไบโอติก/พรีไบโอติกที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับคนไทย บริการห้อง Bioprocess เครื่องทำแห้งแบบแช่เยือกแข็งและธนาคารโพรไบโอติก
ศูนย์นวัตกรรมผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่ออุตสาหกรรมอาหาร 2 (Innovative Center for Production Industry microorganisms : ICPIM 2) บริการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์จุลินทรีย์ใหม่เพื่อการเกษตร (สารชีวภัณฑ์) ในระดับห้องปฏิบัติการและทดสอบกระบวนการผลิต ขยายจุลินทรีย์ในระดับกึ่งอุตสาหกรรม
“…วว. เชื่อมั่นว่าด้วยความพร้อมทั้งด้านบุคลากร องค์ความรู้ เทคโนโลยี รวมถึงอุปกรณ์ เครื่องมือที่ได้มาตรฐานและโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าว จะช่วยผลักดันให้ความร่วมมือของทั้งสองหน่วยงานสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม อันเป็นเป้าหมายสำคัญในการดำเนินงานของ วว. ที่มุ่งเน้นนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เป็นกลไกสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามแนวทาง BCG โมเดล โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการเกษตร ที่มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตบนฐานทรัพยากรของประเทศ การยกระดับมาตรฐานคุณภาพ และความปลอดภัย เพื่อให้เกิดการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน พร้อมดำเนินการเชิงบูรณาการร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาภาคเศรษฐกิจควบคู่กับสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ…” ผู้ว่าการ วว. กล่าวสรุป
นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ภาคอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะปัญหาสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม โรคระบาด การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ล้วนแต่ส่งผลทำให้เกษตรกรต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น กรมประมงได้ให้ความสำคัญกับการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้พี่น้องเกษตรกรไทยตามนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้มอบหมายให้นักวิชาการกรมประมงศึกษาวิจัยด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาพัฒนาต่อยอดให้เกิดผลงานวิจัยใหม่ๆ ที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพการผลิตสัตว์น้ำให้แก่เกษตรกร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสังคมสู่ความยั่งยืน
“หัวเชื้อจุลินทรีย์ ปม.1” เป็นหนึ่งในผลงานของกรมประมงและสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ที่ได้ร่วมกันศึกษาประสิทธิภาพของจุลินทรีย์เพื่อนำมาใช้สำหรับการเลี้ยงสัตว์น้ำตั้งแต่ปี 2547 และได้ขยายผลเป็นผลิตภัณฑ์หัวเชื้อจุลินทรีย์ โดยตั้งชื่อว่าหัวเชื้อจุลินทรีย์ ปม.1 และได้ส่งเสริมให้เกษตรกรได้ใช้ ปม.1 ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อช่วยย่อยสลายสารอินทรีย์ และลดปริมาณเชื้อก่อโรคในบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและในสิ่งแวดล้อม ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคและลดการใช้ยาปฏิชีวนะในสัตว์น้ำลงได้ ซึ่งเกษตรกรให้ความสนใจนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตามเนื่องจากสภาวะปัจจุบันเชื้อก่อโรคยังคงทวีความรุนแรงมากขึ้น กรมประมงจึงได้มีการพัฒนาหัวเชื้อจุลินทรีย์ ปม.2 ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยป้องกันและควบคุมโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินอาหารได้ และได้ส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ตลอดสายการผลิตกุ้งทะเล เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรค และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตกุ้งทะเลให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งได้เป็นอย่างดี ปัจจุบัน ปม.1 และ ปม.2 ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากเกษตรกร ส่งผลให้มีการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์อย่างกว้างขวาง ซึ่งมีส่วนช่วยในการบรรเทาความเสียหายที่เกิดจากโรคระบาดในกุ้งทะเลและช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมไทยให้พลิกฟื้นกลับมาได้ตามลำดับ
“…การลงนามในครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการบูรณาการองค์ความรู้ของบุคลากรทั้งสองหน่วยงาน เพื่อร่วมพัฒนาเกษตรกรไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีความมั่นคงในอาชีพ ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างยั่งยืนต่อไป…” อธิบดีกรมประมง กล่าวในช่วงท้าย